ภาษาอังกฤษ (English language) เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 (พ.ศ. 2545: 402 ล้านคน) ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่องจากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี
คำว่า อังกฤษ ในภาษาไทย มีที่มาจากคำอ่านของคำว่า Inggeris ในภาษามลายูที่ยืมมาจาก anglais (English) ( /ɑ̃glɛ/ ) ในภาษาฝรั่งเศส
ภาษาอังกลิช/แองกลิช (Angles) เป็นภาษาโบราณซึ่งใช้กันในชนชาติแองโกลที่อพยพสู่เกาะบริเตน และเป็นหนึ่งในภาษาแบบฉบับของภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น หากพูดถึงภาษาแองกลิชแล้ว ก็ต้องระวังเสียงพ้องกับคำว่า ภาษาอังกฤษสัทวิทยา
เสียงสูงต่ำ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา intonation ซึ่งหมายถึงการใช้เสียงสูงต่ำขึ้นอยู่กับประโยคที่ใช้ ต่างกับภาษาไทยที่ใช้วรรณยุกต์เป็นตัวกำกับของเสียงสูงต่ำ ประโยคในรูปแบบต่างกัน จะใช้เสียงสูงต่ำแตกต่างกัน เช่นประโยคแสดงความตกใจ ประโยคคำถาม ประโยคสนทนาการขึ้นเสียงสูง และลงเสียงต่ำยังคงสามารถบอกได้ถึงความหมายของประโยค ตัวอย่างเช่น
- When do you want to be paid? (คุณต้องการชำระเงินเมื่อไร)
การเน้นเสียง
การเน้นเสียงในคำ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา stress-timed ซึ่งจะมีการเน้นเสียงที่คำคำหนึ่งโดยการเน้นให้เสียงดังขึ้นหรือเสียงสูงขึ้น ในดิกชันนารี จะนิยมเขียนเครื่องหมายอะพอสทรอฟี ( ˈ ) ไว้ด้านหน้า (เช่น IPA หรือ พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด) หรือเขียนไว้ด้านหลัง (พจนานุกรมเว็บสเตอร์) โดยทั่วไป คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มี 2 พยางค์ สามารถกล่าวได้ว่า ถ้าเน้นเสียงที่พยางค์แรก คำนั้นส่วนใหญ่จะเป็น คำนาม หรือ คำคุณศัพท์ และถ้าเน้นเสียงที่พยางค์ที่ 2 คำนั้นส่วนใหญ่จะเป็น คำกริยาการเน้นเสียงในประโยค
การเน้นเสียงในประโยคใช้ในการบอกความสำคัญของประโยค โดยประโยคทั่วไปจะเน้นเสียงที่คำหลักที่มีความหมายเฉพาะ โดยจะไม่เน้นเสียงที่ คำสรรพนาม และกริยาช่วย โดยประโยคทั่วไป- That | was | the | best | thing | you | could | have | done!
- John hadn't stolen that money. (จอห์นไม่ได้ขโมยเงินไป)
- John hadn't stolen that money. (... คนอื่นเป็นคนขโมย)
- John hadn't stolen that money. (... คุณบอกว่าเขาทำ แต่เขาไม่ได้ทำ)
- John hadn't stolen that money. (... ได้รับเงิน แต่ไม่ได้ขโมย)
- John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยเงินของคนอื่น)
- John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยอย่างอื่น)
คำศัพท์
คำศัพท์ส่วนมากในภาษาอังกฤษจะมีรากศัพท์จากภาษาเจอร์เมนิกและภาษาละติน โดยคำจากเจอร์เมนิกจะเป็นศัพท์ที่สั้นและเป็นศัพท์ในชีวิตประจำวัน และคำศัพท์อังกฤษที่รากศัพท์มาจากละติน จะถือว่าเป็นคำศัพท์ของคนชั้นสูงและมีการศึกษาในสมัยก่อน ในปัจจุบันผู้ใช้ภาษาอังกฤษสามารถเลือกใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันเช่น "come" (เจอร์เมนิก) "arrive" (ละติน) ; freedom (เจอร์เมนิก) "liberty" (ละติน) ; oversee (เยอร์มานิก) "supervise" (ละติน) "survey" (ฝรั่งเศสที่มาจากละติน)นอกจากนี้ในชื่อสัตว์และเนื้อสัตว์จะใช้ศัพท์แยกจากกัน โดยตัวสัตว์จะใช้ศัพท์จากเจอร์เมนิกเป็นคำศัพท์จากชนชั้นล่างในอังกฤษ ขณะที่เนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารใช้ศัพท์จากภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์ละตินซึ่งเกิดจากคำศัพท์ผู้บริโภคชั้นสูง เช่น "cow" และ "beef"; "pig" และ "pork"
ในปัจจุบันได้มีคำศัพท์ใหม่จากภาษาอื่นเข้ามาใช้ในภาษาอังกฤษ หลายภาษารวมถึงฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และภาษาต่างๆ ตัวอย่างคำเช่น creme brulee, cafe, fiance, amigo, karaoke
ความถี่การใช้งานคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ
ความถี่การใช้งานคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมีแนวโน้มเป็นไปตาม Zipf's Law (http://en.wikipedia.org/wiki/Zipf's_law) ตัวอย่างเช่น ใน Brown Corpus คำที่มีการใช้งานเป็นอันดับ 1 ("the") มีความถี่เกือบ 7% คำที่มีความถี่อันดับ 2 ("of") ซึ่งมีการใช้งาน 3.5% ตามด้วย "and" 2.9% คำศัพท์เพียง 135 คำที่ใช้งานสูงสุดคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมดใน Brown Corpusคำศัพท์ที่มีความถี่การใช้งานสูงสุด 4,000 คำก็จะครอบคลุมกว่า 80% ของข้อความภาษาอังกฤษที่พบในหนังสือทั่วไป และกว่า 90% ของคำศัพท์ในภาษาพูดในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมจึงควรเน้นที่คำศัพท์สำคัญและมีการใช้งานสูงสุดก่อน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เน้นการเรียนในรูปแบบนี้โดยตรง ได้แก่ Insight English (http://www.in-eng.com)
อย่างไรก็ดี คำศัพท์ที่เป็นพื้นฐาน 350 คำ คือคำที่ผู้เรียนรู้ภาษาอังกฤษต้องจดจำให้ได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเรียนรู้และจดจำคำศัพท์เหล่านี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะคนที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษในเบื้องต้นให้ได้ดีนั้น ต้องใช้คำศัพท์ราวๆ 1,500 คำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น