วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

Direct & Indirect Speech

Direct & Indirect Speech





        การนำคำพูดของคนอื่น ๆ ไปบอกเล่าใครฟังมีวิธีพูดได้ 2 วิธีคือ
1. ยกคำพูดเดิมไปบอกทั้งหมด (Direct Speech)
      Nicole says, "I am going to the movie."
     Judy says to me,  "get out"
2. ดัดแปลงคำพูดเดิมเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง (Indirect Speech)
      Nicole says that she is going to the movies.
     Judy tells me to get out.
การเปลี่ยนประโยคคำพูดจาก  Direct Speech  หรือ  Indirect Speech   มี 3 ประเภท
1.  Indirect Speech     -       Statement
2.  Indirect Speech     -       Questions
3.  Indirect Speech     -       Command or Request
การเปลี่ยนประโยคคำพูดเป็น   Indirect Speech   ยึดหลัก 4 ข้อดังนี้
1.  เปลี่ยนแปลง Tense
2.  เปลี่ยนแปลง Personal pronoun
3.  เปลี่ยนแปลง Nearness เป็น  Distance
4.  เปลี่ยนแปลง Reporting Verb  (กริยาในประโยคนำ)
I.    Indirect Speech   -   Statements
         กฏการเปลี่ยน  Direct Statement  เป็น  Indirect Statement
1. เอาเครื่องหมายคำพูดออก (Question mark)
2. เปลี่ยน   says                  say that        ,   said             said that
                 say  to               tell                 ,   said to         told
3. เปลี่ยนสรรพนามให้เหมาะสม
4. เปลี่ยนคำต่อไปนี้  จากใกล้   ไกล
Direct Speech 
 Indirect Speech
this
these
now
here
ago
tonight
today
last night
yesterday
last month
last week
next week
tomorrow
that
those
then, at that time
there
before
that night
that day
the night before
the day before, the previous day
the month before
the week before
the following week
the following day, the next day

 

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

English


ภาษาอังกฤษ (English language) เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 (พ.ศ. 2545: 402 ล้านคน) ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่องจากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี
คำว่า อังกฤษ ในภาษาไทย มีที่มาจากคำอ่านของคำว่า Inggeris ในภาษามลายูที่ยืมมาจาก anglais (English) ( /ɑ̃glɛ/ ) ในภาษาฝรั่งเศส
ภาษาอังกลิช/แองกลิช (Angles) เป็นภาษาโบราณซึ่งใช้กันในชนชาติแองโกลที่อพยพสู่เกาะบริเตน และเป็นหนึ่งในภาษาแบบฉบับของภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น หากพูดถึงภาษาแองกลิชแล้ว ก็ต้องระวังเสียงพ้องกับคำว่า ภาษาอังกฤษสัทวิทยา

 เสียงสูงต่ำ

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา intonation ซึ่งหมายถึงการใช้เสียงสูงต่ำขึ้นอยู่กับประโยคที่ใช้ ต่างกับภาษาไทยที่ใช้วรรณยุกต์เป็นตัวกำกับของเสียงสูงต่ำ ประโยคในรูปแบบต่างกัน จะใช้เสียงสูงต่ำแตกต่างกัน เช่นประโยคแสดงความตกใจ ประโยคคำถาม ประโยคสนทนา
การขึ้นเสียงสูง และลงเสียงต่ำยังคงสามารถบอกได้ถึงความหมายของประโยค ตัวอย่างเช่น
When do you want to be paid? (คุณต้องการชำระเงินเมื่อไร)

การเน้นเสียง

 การเน้นเสียงในคำ

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในลักษณะ ภาษา stress-timed ซึ่งจะมีการเน้นเสียงที่คำคำหนึ่งโดยการเน้นให้เสียงดังขึ้นหรือเสียงสูงขึ้น ในดิกชันนารี จะนิยมเขียนเครื่องหมายอะพอสทรอฟี ( ˈ ) ไว้ด้านหน้า (เช่น IPA หรือ พจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด) หรือเขียนไว้ด้านหลัง (พจนานุกรมเว็บสเตอร์) โดยทั่วไป คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มี 2 พยางค์ สามารถกล่าวได้ว่า ถ้าเน้นเสียงที่พยางค์แรก คำนั้นส่วนใหญ่จะเป็น คำนาม หรือ คำคุณศัพท์ และถ้าเน้นเสียงที่พยางค์ที่ 2 คำนั้นส่วนใหญ่จะเป็น คำกริยา

การเน้นเสียงในประโยค

การเน้นเสียงในประโยคใช้ในการบอกความสำคัญของประโยค โดยประโยคทั่วไปจะเน้นเสียงที่คำหลักที่มีความหมายเฉพาะ โดยจะไม่เน้นเสียงที่ คำสรรพนาม และกริยาช่วย โดยประโยคทั่วไป
That | was | the | best | thing | you | could | have | done!
จะเห็นได้ว่ามีการเน้นเสียงที่คำว่า "best" และ "done" โดยคำอื่นที่เหลือจะไม่มีการเน้นเสียง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อต้องการเน้นที่คำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ การเน้นเสียงจะเปลี่ยนไป เช่น
John hadn't stolen that money. (จอห์นไม่ได้ขโมยเงินไป)
จะเน้นเสียงได้หลายแบบ เพื่อแสดงหลายความหมายโดยนัยของประโยค เช่น
John hadn't stolen that money. (... คนอื่นเป็นคนขโมย)
John hadn't stolen that money. (... คุณบอกว่าเขาทำ แต่เขาไม่ได้ทำ)
John hadn't stolen that money. (... ได้รับเงิน แต่ไม่ได้ขโมย)
John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยเงินของคนอื่น)
John hadn't stolen that money. (... จอห์นขโมยอย่างอื่น)

 คำศัพท์

คำศัพท์ส่วนมากในภาษาอังกฤษจะมีรากศัพท์จากภาษาเจอร์เมนิกและภาษาละติน โดยคำจากเจอร์เมนิกจะเป็นศัพท์ที่สั้นและเป็นศัพท์ในชีวิตประจำวัน และคำศัพท์อังกฤษที่รากศัพท์มาจากละติน จะถือว่าเป็นคำศัพท์ของคนชั้นสูงและมีการศึกษาในสมัยก่อน ในปัจจุบันผู้ใช้ภาษาอังกฤษสามารถเลือกใช้คำที่มีความหมายเหมือนกันเช่น "come" (เจอร์เมนิก) "arrive" (ละติน) ; freedom (เจอร์เมนิก) "liberty" (ละติน) ; oversee (เยอร์มานิก) "supervise" (ละติน) "survey" (ฝรั่งเศสที่มาจากละติน)
นอกจากนี้ในชื่อสัตว์และเนื้อสัตว์จะใช้ศัพท์แยกจากกัน โดยตัวสัตว์จะใช้ศัพท์จากเจอร์เมนิกเป็นคำศัพท์จากชนชั้นล่างในอังกฤษ ขณะที่เนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารใช้ศัพท์จากภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์ละตินซึ่งเกิดจากคำศัพท์ผู้บริโภคชั้นสูง เช่น "cow" และ "beef"; "pig" และ "pork"
ในปัจจุบันได้มีคำศัพท์ใหม่จากภาษาอื่นเข้ามาใช้ในภาษาอังกฤษ หลายภาษารวมถึงฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และภาษาต่างๆ ตัวอย่างคำเช่น creme brulee, cafe, fiance, amigo, karaoke

ความถี่การใช้งานคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ

ความถี่การใช้งานคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมีแนวโน้มเป็นไปตาม Zipf's Law (http://en.wikipedia.org/wiki/Zipf's_law) ตัวอย่างเช่น ใน Brown Corpus คำที่มีการใช้งานเป็นอันดับ 1 ("the") มีความถี่เกือบ 7% คำที่มีความถี่อันดับ 2 ("of") ซึ่งมีการใช้งาน 3.5% ตามด้วย "and" 2.9% คำศัพท์เพียง 135 คำที่ใช้งานสูงสุดคิดเป็นถึงครึ่งหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมดใน Brown Corpus
คำศัพท์ที่มีความถี่การใช้งานสูงสุด 4,000 คำก็จะครอบคลุมกว่า 80% ของข้อความภาษาอังกฤษที่พบในหนังสือทั่วไป และกว่า 90% ของคำศัพท์ในภาษาพูดในชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เหมาะสมจึงควรเน้นที่คำศัพท์สำคัญและมีการใช้งานสูงสุดก่อน ในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เน้นการเรียนในรูปแบบนี้โดยตรง ได้แก่ Insight English (http://www.in-eng.com)
อย่างไรก็ดี คำศัพท์ที่เป็นพื้นฐาน 350 คำ คือคำที่ผู้เรียนรู้ภาษาอังกฤษต้องจดจำให้ได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการเรียนรู้และจดจำคำศัพท์เหล่านี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะคนที่จะสื่อสารภาษาอังกฤษในเบื้องต้นให้ได้ดีนั้น ต้องใช้คำศัพท์ราวๆ 1,500 คำ